ความกระด้างของน้ำ

ความกระด้างของน้ำ (Water hardness) หมายถึงความเข้มข้นของแร่ธาตุที่ละลายในน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคลเซียมไอออน (CaCO₃) และแมกนีเซียมไอออน (MgCO₃) การมีแร่ธาตุเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายสำหรับบุคคลที่ใช้น้ำเพื่ออุปโภค บริโภคและสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำ

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความกระด้างนั้นมีความสำคัญเนื่องจากอาจส่งผลต่อคุณภาพและความสามารถในการใช้งานน้ำ และก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตัวอย่างเช่น

• น้ำกระด้างสามารถทิ้งแร่ธาตุ (ตะกรัน) ไว้บนท่อและอุปกรณ์ระบบน้ำ
• ลดประสิทธิภาพของสบู่และผงซักฟอก
• ส่งผลต่อรสชาติของน้ำดื่ม
• ทำให้ค่าไฟสูงขึ้นเนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นเครื่องทำน้ำอุ่นต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง

น้ำที่กระด้างยังส่งผลต่อสุขภาพอีกด้วยแม้ว่าแร่ธาตุในน้ำกระด้างจะไม่เป็นอันตรายหากบริโภคในปริมาณเล็กน้อย แต่การได้รับแร่ธาตุเหล่านี้ในปริมาณสูงเป็นเวลานานมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือดและนิ่วในไต

โดยรวมแล้วการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความกระด้างของน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการระบุและแก้ไขปัญหาใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้น้ำกระด้าง ไม่ว่าจะเป็นในครัวเรือน โรงงานอุตสาหกรรม หรือในระบบน้ำสาธารณะ

ความสำคัญของการตรวจสอบระดับ TDS ในน้ำเกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อคุณภาพน้ำและสุขภาพของมนุษย์ ระดับ TDS ที่สูงในน้ำดื่มอาจส่งผลต่อรสชาติ สี และกลิ่น และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ไตเสียหาย และความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ค่าทีดีเอสที่สูงยังส่งผลเสียต่อระบบนิเวศในน้ำ เนื่องจากอาจส่งผลต่อระดับออกซิเจน ค่า pH และอุณหภูมิของน้ำ ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพและความอยู่รอดของพืชและสัตว์ในน้ำ

ในสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรม TDS ที่สูงอาจส่งผลเสียต่อกระบวนการทางอุตสาหกรรม ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและเพิ่มค่าบำรุงรักษา ดังนั้น การตรวจสอบและจัดการระดับ TDS จึงมีความสำคัญต่อการรับรองความปลอดภัยและคุณภาพของน้ำดื่ม การปกป้องระบบนิเวศทางน้ำ และการปรับกระบวนการทางอุตสาหกรรมให้เหมาะสม

สาเหตุของความกระด้างของน้ำ

น้ำกระด้างนั้นมีสาเหตุหลักมาจากการมีแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำ แร่ธาตุเหล่านี้มาจากแหล่งธรรมชาติ เช่นหิน ดิน และชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดิน ปริมาณแร่ธาตุในน้ำอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะทางธรณีวิทยาของพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดน้ำ

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเช่นปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และองค์ประกอบของดินก็ส่งผลต่อความกระด้างของน้ำได้เช่นกัน พื้นที่ที่มีฝนตกชุกและดินอ่อนมีแนวโน้มที่จะมีน้ำกระด้างน้อยกว่า ในขณะที่พื้นที่ที่มีฝนตกน้อยและดินแข็งมีแนวโน้มที่จะมีน้ำกระด้างมากกว่า

กิจกรรมของมนุษย์สามารถนำไปสู่ความกระด้างของน้ำได้เช่นกันตัวอย่างเช่น การใช้ปุ๋ยและสารเคมีอื่นๆ ในการเกษตร สามารถเพิ่มปริมาณแร่ธาตุในดิน ซึ่งสามารถซึมลงสู่แหล่งน้ำใกล้เคียงได้ นอกจากนี้น้ำเสียจากอุตสาหกรรมเช่นการทำเหมืองแร่ อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ และการแปรรูปอาหาร อาจมีแร่ธาตุในปริมาณสูงที่มีส่วนทำให้น้ำมีความกระด้าง

ในบางกรณีกระบวนการบำบัดน้ำ เช่น การใช้คลอรีนและฟลูออไรเดชันอาจส่งผลต่อความกระด้างของน้ำ แม้ว่ากระบวนการเหล่านี้มีความสำคัญต่อการรับรองความปลอดภัยของน้ำ แต่ก็สามารถเพิ่มความเข้มข้นของแร่ธาตุในน้ำและส่งผลให้น้ำกระด้างได้

การทดสอบและวัดความกระด้างของน้ำ

1.การทดสอบด้วยสบู่:

เป็นการทดสอบที่ง่ายและราคาไม่แพงซึ่งสามารถทำได้ที่บ้าน ในการทดสอบนี้ ให้นำน้ำตัวอย่างเล็กน้อยใส่ภาชนะแล้วเติมสบู่เหลว 2-3 หยด หากน้ำมีความกระด้าง สบู่จะไม่เกิดฟองได้ง่าย และจะทิ้งคราบหรือฟิล์มลื่นๆ ไว้บนผิวน้ำ

2.ชุดทดสอบ:

คุณสามารถซื้อชุดทดสอบที่ร้านจำหน่ายอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปแล้วชุดอุปกรณ์เหล่านี้ประกอบด้วยแถบทดสอบที่วางอยู่ในตัวอย่างน้ำ แถบหรือเม็ดจะเปลี่ยนสีขึ้นอยู่กับระดับความกระด้างของน้ำโดยจะระบุว่าน้ำอ่อน แข็งปานกลาง แข็ง หรือแข็งมาก

3.เครื่องวัดระดับมืออาชีพ:

สำหรับการทดสอบที่แม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้น คุณสามารถซื้อเครื่องมือวัดแบบดิจิตอลหรือสามารถจ้างบริการทดสอบระดับมืออาชีพได้ โดยทั่วไปบริการเหล่านี้จะให้รายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับคุณภาพน้ำ รวมถึงระดับของแร่ธาตุและสารเคมีต่างๆ ในน้ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดวิธีการบำบัดที่ดีที่สุดสำหรับประเภทและระดับความกระด้างของน้ำที่เฉพาะเจาะจง

มาตรฐานน้ำกระด้าง (Water Hardness) ในประเทศไทย

โดยทั่วไปกำหนดไว้ไม่เกิน 100-500 มิลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ตังตารางที่แสดงด้านล่าง

พารามิเตอร์	กรมอนามัย	อย	สมอ
ความกระด้าง (Hardness)	ไม่เกิน 500 มก./ล.	ไม่เกิน 100 มก./ล.	ไม่เกิน 100 มก./ล.

สอบถามข้อมูล สั่งซื้อ ขอใบเสนอราคา